มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้รับการสถาปนาเมื่อปี พ.ศ. 2486 ทำหน้าที่ในการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษา โดยหน้าที่การให้บริการทางวิชาการแก่สังคม เป็นภารกิจหนึ่งของมหาวิทยาลัยฯ ที่มีความสำคัญ ทั้งนี้ เพราะมหาวิทยาลัยฯ เป็นแหล่งความรู้ที่สำคัญในการพัฒนาประเทศสมควรที่จะเผยแพร่ความรู้เหล่านั้นสู่ประชาชน สู่สังคม ให้เกิดประโยชน์ในการดำรงชีพ การเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชนได้ทำกันในหลายรูปแบบต่อเนื่องกันมาโดยตลอด แต่ก็ยังไม่มีหน่วยงานใดที่ทำหน้าที่รับผิดชอบโดยตรง ดังนั้น ในปี พ.ศ. 2502 มหาวิทยาลัยฯ จึงได้เริ่มจัดตั้งหน่วยงานภายใน (สำนักส่งเสริมและเผยแพร่การเกษตร) ขึ้นมารับผิดชอบงานด้านนี้ จนกระทั่งวันที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2513 จึงมีประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี จัดตั้งสำนักส่งเสริมและฝึกอบรม เป็นหน่วยงานเทียบเท่าคณะ เพื่อทำหน้าที่เป็นหน่วยงานที่ให้บริการวิชาการแก่สังคม สำนัก-ส่งเสริมและฝึกอบรม ได้พัฒนากิจกรรมด้านการบริการวิชาการให้เจริญก้าวหน้ามาโดยตลอดเพื่อขยายงานด้านการบริการวิชาการแก่สังคมให้กว้างขวางขึ้นต่อไป
ในปี พ.ศ. 2520-2524 รัฐบาลไทยได้รับความช่วยเหลือจากรัฐบาลญี่ปุ่นในการพัฒนามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และได้ก่อตั้งหน่วยงานของสำนักส่งเสริมและฝึกอบรม ที่วิทยาเขตกำแพงแสน ให้ชื่อว่า ศูนย์ส่งเสริมและฝึกอบรมการเกษตรแห่งชาติ ตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 60 ไร่ ประกอบด้วย อาคารบริหาร อาคารสื่อการศึกษา อาคารโรงพิมพ์อาคารฝึกอบรม อาคารโรงอาหาร และอาคารหอพัก (จำนวน 4 หลัง) ที่สามารถให้บริการอย่างครบวงจรและเบ็ดเสร็จในตัวเอง ทำให้งานบริการวิชาการของสำนักส่งเสริมและฝึกอบรม และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เป็นที่รู้จักแพร่หลายและเจริญรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว ทั้งภายในและต่างประเทศ
ในปี พ.ศ. 2541 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้มอบอาคาร 2 ชั้น (อาคารกำพลอดุลวิทย์) ให้สำนักส่งเสริมและฝึกอบรม (วิทยาเขตบางเขน) อีกหนึ่งหลัง มีพื้นที่ทำการประมาณ 1,000 ตารางเมตร สำนักส่งเสริมและฝึกอบรม ได้ปรับปรุงให้เป็นห้องสำหรับการฝึกอบรมวิชาชีพแก่ประชาชน จำนวน 9 ห้อง ทำให้แก้ปัญหาการขาดแคลนสถานที่ฝึกอบรมได้ระดับหนึ่ง และในปี พ.ศ.2551 สำนักส่งเสริมและฝึกอบรมได้ส่งมอบอาคารกำพล อดุลวิทย์ คืนให้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ตามบันทึกที่ ศธ.0513.13401/2427 ลงวันที่ 28 สิงหาคม 2551
ในปี พ.ศ. 2542 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้มอบพื้นที่ทำการให้กับสำนักส่งเสริมและฝึกอบรม เพิ่มเติม คือ อาคารวิทยบริการ (ชั้นที่ 4-7) มีพื้นที่ทำการทั้งสิ้น 6,122 ตารางเมตร ประกอบด้วย ห้องฝึกอบรม ขนาดความจุ 20-150 คน จำนวน 20 ห้อง และห้องประชุมขนาดความจุ 300 คน จำนวน 1 ห้อง ทำให้สามารถแก้ไขปัญหาเรื่องห้องฝึกอบรมได้พอสมควร และต่อมาในปี พ.ศ. 2549 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้มีคำสั่งที่ 3573/2549 ลงวันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 มอบหมายให้สำนักส่งเสริมและฝึกอบรม เป็นผู้ดูแลรับผิดชอบบริหารจัดการอาคารวิทยบริการ
ในปี พ.ศ. 2548 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้มีประกาศสภามหาวิทยาลัย-เกษตรศาสตร์ เรื่อง การจัดตั้งสำนักส่งเสริมและฝึกอบรม กำแพงแสน โดยสภามหาวิทยาลัย-เกษตรศาสตร์ ได้อนุมัติ ในการประชุมครั้งที่ 4/2548 เมื่อวันที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2548 จัดตั้งให้ สำนักส่งเสริมและฝึกอบรม กำแพงแสน เป็นหน่วยงานภายในที่มีสถานภาพเทียบเท่าคณะ ดังนั้น สำนักส่งเสริมและฝึกอบรม กำแพงแสน จึงไม่อยู่ภายใต้การบริหารของสำนักส่งเสริมและฝึกอบรม
สำนักส่งเสริมและฝึกอบรม ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการเผยแพร่วิชาความรู้สู่สังคมและประชาชน และทำหน้าที่รับผิดชอบภารกิจอันสำคัญนี้มาตลอดโดยได้พัฒนาปรับปรุงกระบวนการตลอดจนเทคนิควิธีการที่จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนมาโดยลำดับ จนได้รับประกาศเกียรติคุณ รางวัลหน่วยงานดีเด่นของชาติ สาขาการพัฒนาสังคม (ด้านการศึกษา) ประจำปี พุทธศักราช 2532 จากคณะกรรมการเอกลักษณ์ของชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี และในปี พ.ศ. 2545 ได้รับ รางวัลกิตติคุณสัมพันธ์ “สังข์เงิน” จากสมาคมนักประชาสัมพันธ์แห่งประเทศไทย
จากการพัฒนางานของสำนักส่งเสริมและฝึกอบรม มาอย่างต่อเนื่อง ในปี พ.ศ. 2547 ได้มีการพิจารณาจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาสำนักส่งเสริมฯมีการปรับโครงสร้างการบริหารงานภายในสำนักส่งเสริมฯ ให้สอดคล้องกับลักษณะงาน การขยายงานและสภาวการณ์ที่เปลี่ยนไปของสังคม โดยกำหนดโครงสร้างการบริหารงานจาก 6 ฝ่าย เป็น 8 ฝ่าย ในทั้ง 2 วิทยาเขต ซึ่งได้มีการเปลี่ยนแปลงชื่อฝ่ายให้เหมาะสมยิ่งขึ้น เช่น ฝ่ายวิเคราะห์โครงการและหลักสูตรการฝึกอบรม ปรับเปลี่ยนเป็นฝ่ายวิจัยและพัฒนา รวมทั้งการตั้งฝ่ายเพิ่มขึ้น 2 ฝ่าย คือ ฝ่ายการศึกษา และฝ่ายสื่อสารการตลาด และกำหนดให้ฝ่ายต่างๆ ทดลองปฏิบัติตามโครงสร้างใหม่ นี้เป็น เวลา 1 ปี เพื่อศึกษาความเหมาะสมและความเป็นไปได้ในทางปฏิบัติ ก่อนที่จะนำเสนอสภามหาวิทยาลัยฯพิจารณาต่อไป
ในช่วงระยะเวลาดังกล่าว สำนักส่งเสริมและฝึกอบรม ได้เสนอให้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ พิจารณายกฐานะศูนย์ส่งเสริมและฝึกอบรมการเกษตรแห่งชาติเป็น หน่วยงานใหม่ มีฐานะเทียบเท่าคณะ โดยมีการกำหนดโครงสร้างการบริหารงาน 8 ฝ่ายซึ่งมหาวิทยาลัยฯ ได้พิจารณาเห็นชอบและกำหนดชื่อเป็น “สำนักส่งเสริมและฝึกอบรม กำแพงแสน” โดยได้รับอนุมัติจาก สภามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เมื่อวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2548
หลังจากนั้น สำนักส่งเสริมและฝึกอบรม ได้ทบทวนโครงสร้างองค์กรภายในใหม่อีกครั้ง โดยกำหนดให้มี 6 ฝ่าย และให้งานส่งเสริมเผยแพร่ แยกออกจากฝ่ายฝึกอบรม จัดตั้งเป็นฝ่ายส่งเสริมและเผยแพร่ โดยมีภารกิจครอบคลุมถึงการส่งเสริมการตลาด ดังผังโครงสร้างสำนักส่งเสริมและฝึกอบรม
ปลายปี พ.ศ. 2548 ได้มีการย้ายสถานที่ทำการบางฝ่าย ได้แก่ ฝ่ายบริหารและธุรการทั่วไป และฝ่ายวิเคราะห์โครงการและหลักสูตรการฝึกอบรม จากอาคารเดิมมาอยู่ที่อาคารวิทยบริการ เพื่อความสะดวกในการบริหารจัดการด้านอาคาร และเพื่อขยายพื้นที่ทำงานเดิม ให้แก่ฝ่ายพัฒนาสื่อการส่งเสริม และฝ่ายโรงพิมพ์
ปลายปี พ.ศ. 2552 ฝ่ายพัฒนาสื่อการส่งเสริม และฝ่ายโรงพิมพ์ ได้ย้ายสถานที่ทำงานจากอาคารเดิม (ตึก พนม สมิตานนท์) มาอยู่ที่ อาคารวิทยบริการ เพื่อสะดวกในการบริหารจัดการและการให้บริการวิชาการที่ครบวงจร ของสำนักส่งเสริมและฝึกอบรม
สำนักส่งเสริมและฝึกอบรม มีการบริหารงานตามสายการบังคับบัญชาในลักษณะที่เป็นแนวดิ่ง และแนวราบประกอบกับโดยได้กำหนดมีการมอบหมายนโยบาย และตัวชี้วัด จากระดับผู้อำนวยการ สู่รองผู้อำนวยการ หัวหน้าฝ่าย และหัวหน้างาน ขณะเดียวกันผู้ปฏิบัติงานก็สามารถสะท้อนปัญหาอุปสรรค ตลอดจนข้อเสนอแนะกลับขึ้นไปสู่ผู้บังคับบัญชาตามลำดับได้โดยผ่านกระบวนการประชุมและการสื่อสารออนไลน์ เป็นต้น ขณะเดียวกันในการบริหารจัดการโครงการต่าง ๆ ผู้อำนวยการได้มอบนโยบายการทำงานรวมกันในลักษณะ Project Mode ซึ่งเป็นการบูรณาการการทำงานร่วมกันในระหว่างฝ่าย เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและความคล่องตัวในการปฏิบัติงาน แบ่งการทำงานออกเป็น 6 ฝ่าย ดังนี้
1. ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมและฝึกอบรม ประธานกรรมการ
2. รองผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาระบบองค์กร กรรมการ
3. รองผู้อำนวยการฝ่ายบริหารและประกันคุณภาพ กรรมการ
4. ผู้ช่วยศาสตราจารย์ธานินทร์ คงศิลา กรรมการ
5. รองศาสตราจารย์วิจิตต์ศรี สงวนวงศ์ กรรมการ
6. รองศาสตราจารย์บัญชา ชิณศรี กรรมการ
7. ดร.พิศมัย ศรีชาเยช กรรมการ
8. รองศาสตราจารย์คณิตา ตังคณานุรักษ์ กรรมการ
9. รองศาสตราจารย์ณัฐพล รำไพ กรรมการ
10. ผู้ช่วยศาสตราจารย์สุภาภรณ์ เลิศศิริ กรรมการ
11. ดร.พิเชษฐ์ ตระกูลกาญจน์ กรรมการ
12. ผู้ช่วยศาสตราจารย์อนุพร สุวรรณวาจกกสิกิจ กรรมการ